“เวลาไปตลาดหรือไปห้าง เราแค่เลือกๆ ซื้อ เดินแป๊บเดียวก็ได้ของมาทำกับข้าวแล้ว วันนี้ต้องทำเองทุกอย่าง ทั้งหาปลา ย่างปลา เมื่อยและเหนื่อยมาก แต่สนุกครับ” คำบอกเล่าพร้อมรอยยิ้มสดใสของ เด็กชายจิ๋ว วรพงศ์ ปราบภัย หลังลิ้มรสปลาย่างจาก น้ำพักน้ำแรง
แดดบ่ายร้อนแรง เด็กๆ พากันหลบใต้ร่มไม้ มือพกคันเบ็ด สวิงตักปลา ตามความถนัด จดจ่อเฝ้ารอหลังได้ภารกิจสำคัญจากคุณครูบุษบา ชวนหาอยู่หากินในท้องทุ่ง ธรรมชาติสิ่งรอบตัว
ครูบุษบา พุ่มพวง ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ และเป็นประธานโรงเรียนชาวนากัมปงบึงปรง มักเล่าชีวิตชาวนาในวันวาน ชักชวนเด็กๆ มาวิ่งเล่นใกล้ชิดท้องทุ่งนาและสวนเกษตรผสมผสาน
“สมัยก่อนทำนายากลำบากกว่านี้มาก ไม่มีเครื่องทุ่นแรง มีแต่แรงคนและแรงวัวควาย ต้องอดทนและขยันถึงจะมีข้าวกิน”
โรงเรียนชาวนากัมปงบึงปรง อยู่ย่านหนองจอก
ชานเมืองกรุงเทพมหานคร ที่นี่เป็นเหมือนศูนย์เรียนรู้ชีวิต การพึ่งพาตนเอง ลดการใช้ทรัพยากรจากภายนอก บนเนื้อที่ราว 30 ไร่ แวดล้อมไปด้วยแหล่งอาหาร มีปลาในบ่อ มีไข่ในเล้า ปลูกข้าว พืชผัก ผลไม้ปลอดสาร เป็นแหล่งเรียนรู้ของผู้ใหญ่แต่ก็ดึงดูดเด็กๆ หลายรุ่นหลายวัยให้มาเที่ยวเล่นเป็นประจำ เพราะเป็นทุ่งนากว้าง เปิดโล่ง ลมพัดผ่าน มีที่กว้างๆ ให้วิ่งเล่นทำกิจกรรม เป็นที่ถูกใจเด็กๆ
กิจกรรมตามฤดูกาลมีหลากหลาย ตั้งแต่ปักดำ ทำนา ลงมือ เกี่ยวข้าว ฝัดข้าว ไปจนถึงทำปุ๋ยหมัก เลี้ยงควาย ไก่ เป็ด ห่าน กลายเป็นเรื่องแสนพิเศษสำหรับเด็กไทยยุค 4.0
น้องต้นกล้า ด.ช.ปฏิคม สุขสมกิจ บอกว่า “ได้ลองปลูกข้าว ต้นข้าวของผมเอียงมากครับ อาจจะเป็นครั้งแรกเลยยังไม่ค่อยเก่ง เท่าไหร่ อยากให้คุณครูพามาบ่อยๆ ผมชอบที่นี่ครับ อากาศดี อยากมาเกี่ยวข้าวหาปลาอีกครับ”
เด็กๆ สมัยนี้ไม่ค่อยได้ลงทุ่งนากันบ่อยๆ อาจไม่ทันสังเกตว่าในนา ในสวน มีเรื่องสนุกซุกซ่อนอยู่มากมาย โชคดีของน้องต้นกล้าและจิ๋วที่มีโอกาสมาคลุกคลีกับห้องเรียนในท้องทุ่งที่คณะครูโรงเรียนบ้านเจียรดับ ชวนรู้ ชวนทำ และชวนสัมผัสชีวิตชาวนาชาวสวน เรียนรู้วิถีพึ่งพาตนเองครบวงจร
ต้นกล้าเล่าว่า “บางเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไปเราก็กลับเอาไปทำที่บ้านได้ครับ ปลูกข้าวในบ่อซีเมนต์ หรือปลูกผักในกระถางก็ได้”
“เดี๋ยวเอาความรู้ไปฝากแม่ด้วย อยากกลับบ้านไปย่างปลาให้แม่กิน อยากให้กรุงเทพฯ มีนาข้าว มีสวนผักแบบนี้เยอะๆ ครับ” น้องจิ๋วกล่าวทิ้งท้าย